ทำไมคนรุ่นใหม่ ไม่สนใจศิลปวัฒนธรรมไทย

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

เครื่องตีที่ทำด้วยโลหะ

เครื่องตีที่ทำด้วยโลหะ ได้แก่ ฉาบ ฉิ่ง โหม่ง ฆ้องวง ฯลฯ


ระนาดที่ทำด้วยโลหะแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ(ภาคกลาง)
1.ระนาดเอกเหล็ก เป็นเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รางระนาดเอกเหล็กทำด้วยไม้ มีลักษณะแนวขนานตรงกับพื้นตัวรางอาจจะแกะสลักปิดทองหรือไม่ก็ได้ ลูกระนาดเอกเหล็กทำด้วยโลหะจำพวกเหล็ก หรือบางครั้งใช้อลูมิเนียม มีทั้งสิ้น ๒๐ - ๒๑ ลูก ไม้ที่ใช้ตีเป็นไม้แข็ง คล้ายไม้ของระนาดเอกไม้ หน้าที่ของระนาดเอกเหล็ก คล้ายผู้ช่วยพระเอก ลักษณะการบรรเลงคล้ายกันกับระนาดเอกไม้

2.ระนาดทุ้มเหล็ก เป็นเครื่องดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอนุชาธิราช ในรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงประดิษฐ์ขึ้น โดยยึดหลักจากกล่องเพลงที่ฝรั่งนำมาขายในสมัยนั้น กล่องเพลงนี้ภายในมีลักษณะคล้ายรูปหวี มีขนาดสั้นไปหายาวเรียงกัน เมื่อไขลาน จะมีแท่งโลหะรูปทรงกระบอกหมุน บนผิวทรงกระบอกนั้น มีปุ่มโลหะซึ่งจัดไว้ให้หมุนไปสะกิดหวีโลหะนั้น เหมือนเราใช้เล็บกรีดหวีเล่น ก็จะเกิดเป็นเสียงออกมา กล่องเพลงที่กล่าวถึงนี้ ปัจจุบันก็ยังมีขาย ด้วยยังนิยมใช้กันอยู่สำหรับวางหูโทรศัพท์ เพื่อรอคนมารับสายจากการบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง ประการแรกคือ ระนาดทุ้มเหล็กนี้ ช่วยให้วงดนตรีของไทยขยายขาดขึ้น โดยที่เมื่อนำระนาดเหล็กนี้เข้าประสมกับวงดนตรีไทยด้วยแล้ว จะทำให้ "วงดนตรีปี่พาทย์เครื่องคู่" เปลี่ยนไปเป็น "วงดนตรีปี่พาทย์เครื่องใหญ่" ทันที ซึ่งทำให้เกิดเสียงประสานดังไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้นระนาดเหล็กนี้ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้นำมาประสมเป็นวง "ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และในปัจจุบันก็มีวงดนตรีไทยหลายวงที่นำระนาดเอกเหล็กไปประสมกับวงเครื่องสาย เกิดเป็นวงดนตรีที่เรียกกันว่า "เครื่องสายผสมระนาดทอง" ขึ้นมาอีก เช่น วงดนตรีของคณะ สำเนียง ไพเราะ ของคุณสำเนียง พักภู่ลักษณะของระนาดทุ้มเหล็ก ตัวรางระนาดทำด้วยไม้ อาจแกะสลักปิดทองหรือไม่ก็ได้ ส่วนลูกระนาดทุ้มทำด้วยโลหะจำพวกเหล็กหรืออลูมิเนียม เช่นเดียวกับระนาดเอกเหล็ก แต่ระนาดเอกเหล็กมีขนาดที่ใหญ่กว่าหน้าที่ของระนาดทุ้มเหล็ก บรรเลงทำนองหลักของเพลง เสียงของระนาดทุ้มเหล็กดังก้องกังวานกระหึ่ม จึงต้องตีห่าง เฉพาะเสียงตกในแต่ละจังหวะ ดังนั้นผู้ที่จะบรรเลงระนาดทุ้มเหล็กได้ดีต้องเป็นคนที่แม่นเพลงพอสมควร
ระนาดทองหรือระนาดเอกเหล็ก (ภาคกลาง) เป็นเครื่องโลหะที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเลียนแบบระนาดเอก(ไม้) และใช้ในลักษณะเดียวกัน ระนาดชนิดนี้ ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่เดิมลูกระนาดทำด้วยทองเหลือง จึงเรียกว่า “ระนาดทอง” สำหรับการเล่นหรือวิธีบรรเลง มีวิธีเช่นเดียวกับระนาดเอก แต่ในทางเก็บ ทางขยี้มีน้อยกว่า ระนาดเอก ปัจจุบัน ใช้บรรเลงในวงมโหรีและวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ โดยบรรเลงคู่กับระนาดทุ้มเหล็ก

ฆ้องมอญ (ภาคกลาง)เป็นฆ้องวงที่ตั้งโค้งขึ้นไปทั้งสองข้าง ไม่วางราบไปกับพื้นเหมือนกับฆ้องไทย วงฆ้องส่วนที่โค้ง ขึ้นไปนั้น แกะสลักเป็นลวดลายปิดทองประดับกระจกอย่างงดงาม ส่วนมากมักแกะเป็นรูปกินนร เรียกกันว่าหน้าพระ ตอนกลางโค้งแกะเป็นกระหนกใบเทศปิดทองประดับกระจกเช่นกัน มีเท้ารองตรงกลางเหมือนกับเท้าของระนาดเอก ฆ้องมอญวงหนึ่งๆมีจำนวน 15 ลูก สำหรับใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ รามัญ หรือปี่พาทย์มอญ วงฆ้องมอญมี 2 ชนิดเช่นเดียวกับฆ้องไทย คือมีฆ้องมอญใหญ่ และ ฆ้องมอญเล็ก

ฆ้องวงใหญ่ (ภาคกลาง) เป็นเครื่องดนตรีที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาจากฆ้องเดี่ยว ฆ้องคู่ และฆ้องราว วงฆ้องใช้ต้นหวายโป่งทำเป็นร้าน สูงประมาณ 24 ซม ระหว่างหวายเส้นนอกกับหวายเส้นในห่างกันประมาณ 14 – 17 ซม ดัดให้โค้งเป็นวงรอบตัวคนนั่งตี เปิดช่องด้านหลังคนตีเป็นทางเข้า ระยะห่างประมาณ 20 – 30 ซม วงฆ้องต้องดัดให้พอดีสำหรับคนเข้าไปนั่ง่ตีได้ไม่อึดอัด ลูกฆ้องวงหนึ่งมี 16 ลูก ลูกต้นวัดผ่านศูนย์กลางประมาณ 17 ซม อยู่ทางซ้ายมือด้านหลังผู้ตี ลูกยอดวัดผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 ซม อยู่ทางขวามือ ด้านหลังผู้ตี ไม้ตีทำด้วยแผ่นหนังดิบ ตัดเป็นวงกลมเจาะกลางสอดด้ามไม้สำหรับถือ

ฆ้องวงเล็ก (ภาคกลาง) ป็นเครื่องดนตรีที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีขนาดย่อมกว่าฆ้องวงใหญ่ วัดจากขอบวงในด้านซ้ายมือ ถึงของวงในด้านขวา กว้างประมาณ 80 ซม เรือนฆ้องสูง 20 ซม ฆ้องวงเล็กมีทั้งหมด 18 ลูก ลูกต้นวัดผ่านศูนย์กลางประมาณ 13 ซม ลูกยอดมีขนาดประมาณ 9.5 ซม ใช้บรรเลงร่วมในวงปี่พาทย์ ในวงปี่พาทย์วงหนึ่งๆนั้น จะใช้ฆ้อง 2 วง คือ ฆ้องวงใหญ่ และ ฆ้องวงเล็ก

ฉิ่ง (ภาคกลาง) เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทตี ทำด้วยทองเหลือง หล่อหนา ปากผายกลม 1 ชุดมี 2 ฝา ฉิ่งมี 2 ชนิดคือ ฉิ่งสำหรับวงปี่พาทย์ และ ฉิ่งที่ใช้สำหรับวงเครื่องสาย และวงมโหรี ฉิ่งสำหรับวงปี่พาทย์มีขนาดที่วัดฝ่านศูนย์กลาง จากขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหนึ่ง กว้างประมาณ 6 – 6.5 ซม เจาะรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือก เพื่อให้จับสะดวกขณะตี ส่วนฉิ่งสำหรับวงเครื่องสายและวงมโหรีนั้น มีขนาดเล็กกว่า วัดผ่านศูนย์กลางได้ขนาดประมาณ 5.5 ซม เนื่องจากการตีฉิ่ง ต้องเอาขอบของฝาข้างหนึ่งกระทบกับอีกฝากหนึ่ง แล้วยกขึ้น ก็จะมีเสียงดังกังวานยาวดัง “ฉิ่ง” แต่ถ้าเอาทั้ง 2 ฝานั้นกระทบและประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงดังสั้นๆดัง “ฉับ” ดังนั้นการเรียกชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า ฉิ่ง ก็เพราะเรียกตามเสียงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ฉาบ เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ทำด้วยโลหะเมือนกันคล้ายฉิ่ง แต่หล่อให้บางกว่า ฉาบมี 2 ชนิดคือ“ฉาบเล็ก” และ “ฉาบใหญ่”ฉาบเล็กมีขนาด ที่วัดผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 –14 ซมส่วนฉาบใหญ่มีขนาดที่วัดผ่าน ศูนย์กลางประมาณ 24 –26 ซม เวลาบรรเลงใช้ 2ฝามาตีกระทบกัน ให้เกิดเสียงตามจังหวะ เมื่อฉาบทั้งสองข้างกระทบกันขณะตีประกบกันก็ จะเกิดเสียง “ฉาบ” แต่ถ้าตีแล้วเปิดเสียงก็จะได้ยินเป็น แฉ่ง แฉ่ง แฉ่งเป็นต้น

ขิมเหล็ก

ฆ้องชัย รูปร่างเหมือนโหม่ง แต่ขนาดใหญ่กว่า มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 80 เซนติเมตร เวลาตีเสียงดังกระหึ่มกังวานก้องไปไกล เรียกชื่อตามเสียง ที่ได้ยินว่า ฆ้องหมุ่ย นิยมใช้ตีในงานมงคลต่างๆเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย จึงเรียกชื่อฆ้องชนิดนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ฆ้องชัย”

ฆ้องเหม่ง เป็นฆ้องขนาดเล็ก หล่อด้วยโลหะหนาเกือบ 1 เซนติเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 19 เซนติเมตร สมัยก่อนใช้ตีเดี่ยวในการบรรเลง “วงบัวลอย” ปัจจุบันไม่ได้ใช้ในวงดนตรี

ฆ้องโหม่งหรือ โหม่ง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30-45 เซนติเมตร เวลาตีเสียงดัง “โหม่งๆ” เดิมใช้ตีบอกเวลาในเวลากลางวัน เราจึงเรียกหน่วยของเวลา ในตอนกลางวันว่า “โมง” หรือ “ชั่วโมง” และใช้กลองตีบอกเวลาในตอนกลางคืน ปกติเสียงกลองจะดัง “ตุ้มๆ” จึงเรียกหน่วยเวลาในตอนกลางคืนว่า “ทุ่ม” มาจนทุกวันนี้

ฆ้องวงชัย(ฆ้องดึกดำบรรพ์) เมื่อรัชกาลที่ ๕ กรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงปรับปรุงวงปี่พาทย์สำหรับประกอบการแสดงละคอน ณ โรงละคอนที่ทรงตั้งชื่อโรงว่า "ดึกดำบรรพ์" ได้ทรงนำเอาฆ้องหุ่ย หรือฆ้องชัย ๗ ลูก มาปรับเสียงใหม่ให้มีสำเนียงเป็น ๗ เสียง แล้วทำที่แขวนเรียงรอบตัวคนตีสำหรับตีเป็นจังหวะห่าง ๆ ตามเสียงของทำนองเพลง ประกอบในวงปี่พาทย์สำหรับกับละคอนโรงนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกละคอนอย่างที่แสดง ณ โรงนั้นว่า "ละคอนดึกดำบรรพ์" และเลยเรียกวงปี่พาทย์ที่ทรงปรับปรุงขึ้นสำหรับละคอนนั้นว่า "ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" ไปด้วยจึงเกิดมีวงฆ้องชัยขึ้นอีกอย่างหนึ่งด้วยเหตุนี้ ฆ้องเดี่ยวก็ดี ฆ้องคู่ก็ดี ฆ้องราวหรือฆ้องระเบงก็ดี เป็นเครื่องตีให้จังหวะแต่การประดิษฐ์ฆ้องรางและฆ้องวงขึ้นเป็นเหตุให้สามารถเล่นเป็นทำนองได้ และฆ้องทุกชนิดถ้าตีแล้วยังเกิดเสียงไม่ได้ที่ เขาใช้ขี้ผึ้งผสมกับตะกั่วติดตรงกับปุ่มกลางด้านในเป็นการถ่วงให้ได้เสียงตามแต่จะต้องการ

ขิม แต่เดิมแล้วนั้นเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นของประเทศจีน ขิมเริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดนนำมารวมอยู่ในวงเครื่องสายจีน ซึ่งนำมาใช้ในการประกอบการแสดงงิ้วและนำมาบรรเลงในงานเทศกาลต่าง ๆ จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ 6 นักดนตรีของไทยได้มาขิมของจีนแต่เดิมมาบรรเลง และได้ดัดแปลงแก้ไขบางอย่าง คือ เปลี่ยนจากสายลวดมาเป็นสายทองเหลืองให้มีขนาดโตขึ้น เทียบเสียงเรียงลำดับไปตลอดถึงสายต่ำสุด เสียงคู่แปดมือซ้ายและมือขวามีระดับเกือบจะตรงกัน เปลี่ยนไม้ตีให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นและก้านแข็งขึ้น หย่องที่หนุนสายมีความหนากว่าเดิมเพื่อให้เกิดความสมดุลและเพื่อเพิ่มเสียงให้มีความดังมากยิ่งขึ้น และไม่ให้เสียงที่ออกมามีความแกร่งกร้าวจนเกินไป ให้ทาบหนังหรือสักหลาดตรงปลายไม้ตี ส่วนที่กระทบกับสายทำให้เกิดความนุ่นนวล และได้รับความนิยมบรรเลงร่วมอยู่ในวงเครื่องสายผสมของไทยในปัจจุบัน

ฆ้องคู่ ฆ้องขนาดเล็กสองใบ ใบหนึ่งเสียงต่ำ ใบหนึ่งเสียงสูง ใช้ผูกคว่ำไว้บนราง มีลักษณะเป็นหีบไม้ เวลาตีเกิดเสียงดัง “โหม้ง-เม้ง” หรือ “โหน้ง-เนง” ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ชาตรี ประกอบการแสดงโนรา และละครชาตรี ประดิษฐ์ขึ้นพร้อมกับการแสดงโนราชาตรี นิยมเล่นกับแถบจังหวัดภาคใต้มาก่อน นิยมเล่นประกอบการแสดงหนังตะลุง

ฆ้องราง มีรางสำหรับแขวนลูกฆ้อง จำนวน 7-8 ลูก เทียบเสียงสูง-ต่ำลดหลั่นกันครบ 7-8 เสียง ใช้บรรเลงทำนองได้ ปัจจุบันไม่มีใช้ในวงดนตรีไทย
ฆ้องราว ใช้ฆ้องสามใบ ขนาดลดหลั่นกัน “ใหญ่ กลาง เล็ก” แขวนเรียงกันตามขนาด ใช้บรรเลงประกอบการแสดงมหรสพโบราณ เรียกว่า “ระเบง” จึงเรียกชื่อฆ้องชนิดนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ฆ้องระเบง”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น